วันศุกร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

นกน้อยในกรงทอง

สวัสดีทุกคน วันนี้เรามีนิทานจะมาเล่าให้ฟัง นิทานเรื่องนี้ชื่อ "นกน้อยในกรงทอง" ชื่อนิทานเรื่องนี้อาจจะฟังดูเริศหรู อาจจะฟังดูสบาย แต่จริงๆแล้วเราจะลองมาเล่าในมุมมองของ "นกน้อย" ดู 

กาลครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว ประมาณ 15 ปีก่อน ในบ้านหลังหนึ่งมีสามีภรรยาคู่หนึ่ง พวกเขามีนกอยู่ตัวนึง มันเป็นนกที่มีเสียงร้องพอก่ำก่า 555 ทำอะไรก็ไม่เก่งซักอย่าง บินก็ได้ไม่นาน รูปลักษณ์หน้าตาก็ี้เหร่ไม่สละสวย เอาไปแข่งที่ไหนก็ได้แต่ขายหน้า พวกเขาพยายามฝึกมันให้ทำในสิ่งที่ดูน่าตื่นตาตื่นใจ ฝึกให้เรียกแขก ฝึกให้แสดงสิ่งแปลกๆ ให้ร้องเพลงให้ไพเราะ เจ้านกน้อยก็พยายามที่จะทำให้เจ้านายทั้งสองพอใจ สามี ภรรยาขังเจ้านกน้อยไว้ในกรงสีทองแสนสวยอันหนึ่ง เจ้านกน้อยชื่นชมกรงในตอนแรก "เจ้านายคงรักฉันมาก ดูกรงฉันสิสวยจับใจ" แต่นานวันไปมันเริ่มรู้สึกว่ากรงของมันเล็กลงเรื่อยๆ เพราะพอมันยิ่งโตขนาดของกรงก็เล็กลง เล็กลง จริงๆกรงมันก็มีขนาดเท่าเดิมนั้นแหละเจ้านก เพียงแต่แกนะ...เริ่มโตขึ้นเรื่อย อยู่มาวันหนึ่งภรรยาอยากให้เจ้านกสูดอากาศข้างนอกบ้างจึงนำมันไปวางไว้ตรงของหน้าต่าง แสงแดด สายลมโชยปะทะตัวมันชวนให้รู้สึกอยากไหวปีกบินไปสู่อิสระภาพด้านนอกหน้าต่าง แต่แล้ว...มันก็ได้รับรู้ว่าเพียงแค่จะยกปีกขึ้นกระพือเบาๆ กรงก็ขักขังปีกใหญ่ๆของมันเอาไว้จนไม่สามารถจะสยายปีกบินได้ "จิ๊บๆ จิ๊บๆ" เสียงนกดังออกมาจากด้านนอกของหน้าต่าง "นี่ ทำไมเจ้าเข้าไปอยุ่ในกรงนั้นละ?" เสียงนกแปลกหน้าถาม "เจ้าหน้าของฉันต้องการให้ฉันปลอดภัย เขาบอกว่าฉันยังไม่ถึงเวลาจะไปไหน เขาต้องการให้ฉันฝึกร้องเพลงอยู่ที่นี่" เจ้านกตอบ นกแปลกหน้ามองอย่างไม่เข้าใจก่อนจะปิดจากไป จริงๆฉันก็อยากไปตามเธอนะนกแปลกหน้า...แต่เจ้ากรงบ้านี่กักขังอิสระฉันเอาไว้อยู่ เจ้านกคิด....หากฉันเลือกได้....ฉันก็ไม่อยากเป็นนกน้อยในกรงทองหรอกนะเจ้านกแปลกหน้า

เป็นอย่างไรบ้างกับนิทานก่อนนอนชิ้นนี้หากลองฟังในเรื่องที่เป็นมุมมองของเจ้านกน้อยแล้วรู้สึกอย่างไร? มันก็จริงที่เจ้านายหลายๆคนต้องการจะให้สัตว์ในปกครองของตนเองปลอดภัย...ให้อยู่ใน "กรง" เพื่อที่จะไม่ได้รับอันตราย อยู่ใน "กรง" เพื่อที่จะเรียนรู้จากสิ่งที่เจ้านายเอามาสอนให้เท่านั้น หากนำมาเทียบกับคนเราก็เหมือนผู้ปกครองหลายๆคนที่ต้องการจะปกป้องลูกหลานของตนเพื่อให้ปลอดภัยจากภัยร้ายต่างๆ ส่วนเรื่องที่รู้ก็นำมาสอนอย่างเช่นยาบ้าอย่าไปลอง เหล้าอย่าไปลอง เที่ยวผับบาร์มันไม่ดีอย่าไปลอง จริงอยู่ที่หลายๆอย่างที่นำมาสอนนั้นล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ดีงามและเหมาะสม เด็กๆจะได้ไม่ไปหลงผิดเพื่อลองหาประสบการณ์ด้วยตัวเอง ไม่ต้องท้องก่อนวัยอันควรเพื่อที่จะเรียนรู้ว่าอย่าไปมีอะไรกันก่อนจะเรียนจบมีงานทำ ก่อนวัยที่พร้อม ไม่ต้องไปโง่ตกงานถ้าตั้งใจเรียนตามที่ผู้ปกครองสั่ง ไม่ต้องร้องไห้น่าสมเพชหากเชื่อผู้ใหญ่บอกในเรื่องของสิ่งต่างๆ เพราะคนเราไม่มีนาฬกาย้อนเวลาให้ถอยหลังกลับมาได้อีก แต่คิดในอีกแง่หนึ่งทุกๆเวลาเด็กๆและวัยรุ่นก็จำเป็นต้องเรียนเพื่อมีอนาคตที่ดี เรียนจบค่อยไปหาความสนุกก็ได้ พอเรียนจบก็ทำงานเก็บเงิน....เก็บเงินแล้วค่อยไปหาความสนุกก็ได้ แต่บางคนภาระหนี้สินไม่ได้จบแค่พอมีเงิน บางคนมีเป็นแสน มีเป็นล้านที่ต้องช่วยพ่อแม่ทดแทน อาจจะมีค่าบ้านที่ต้องผ่อน ค่ารถ ค่าเทอมน้อง โน่นนี่นั้นเยอะแยะ พอผ่อนหนี้หมด...เก็บเงินสร้างครอบครัวเป็นของตัวเอง.....เก็บเงินเลี้ยงลูก พอแก่ก็มีเงินเที่ยว มีความพร้อม ถ้าแรงยังเหลือก็สนุก.....แต่เดี๋ยวก่อน ความสนุกในช่วงวัยใดวัยหนึ่งมันต่างกัน คิดบ้างหรือไม่ว่าหากต้องคอยตีเข้ากรอบให้มันมากจนเกินไปบางทีสิ่งที่ตามมาอาจจะมีผลกระทบมากจนเกินไปก็ได้ เช่นห้ามทุกอย่างที่จะทำให้เสียดานเรียน อันนี้คงไม่ผิดหากพ่อ แม่ต้องการ แต่บางอย่างในการเล่นสนุกก็คือการเรียนรู้ของเด็กๆด้วยเช่นกัน สังคมสมัยนี้สิ่งมีชีวิตต้องอยู่กันเป็นกลุ่มจริงหรือไม่ หากจะต้องแยกให้ลูกกลายเป็นนกน้องในกรงทองคอยเรียนพิเศษ เก็บตัวอยู่แต่ในบ้านเพื่อหลีกหนีสิ่งยั่วยุที่จะทำให้เกิดผลเสียง แล้วคุณคิดว่าจริงๆมันดีรึเปล่า? ห้ามลูกไปเที่ยวกับเพื่อนทุกครั้งที่เขาจะไปมันดีแล้วเหรอ? ห้ามซื้อนั้น ห้ามอ่านนี้ จริงๆมีดีรึเปล่า? 

มาถึงตรงนี้ก็ขอฝากให้ผู้ใหญ่หลายๆคนที่หลงเข้ามาอ่านลองนึกย้อนไปถึงการเลี้ยงลูกของคุณให้ดีๆ หากลูกคุณไม่มีเพื่อนลองคิดสิ่งว่ามันเกิดขึ้นเพราะอะไร? เกิดขึ้นเพราะเขาทำตัวไม่ดีเองหรือเพราะเขาขาดโอกาสที่จะได้ไปสนิทชิดเชื้อกับใครเพียงเพราะคำว่าติดเรียนพิเศษ..ไปไม่ได้ หรือคำว่า แม่ไม่ให้ไป คุณคิดดีแล้วเหรอที่จะตัดเขาออกจากสังคมในยุดที่สิ่งมีชีวิตนิยมอยู่กันเป็นกลุ่ม 


ฝากข้อคิดเล็กๆน้อยๆ "จนอย่าปล่อยให้นกน้อยของท่านเฝ้ามองโลกภายนอกจากในกรง เพราะซักวันที่เขาพร้อมที่จะแหกกรงออกไปเขาจะกลัวจนไม่อยากกลับมาในกรงอีก"

อิสระภาพไม่มีขาย หากอยากได้....ลองไปขอผู้ปกครองคุณดูสิ


*คำเตือน!! สำหรับผู้ปกครองบางคนที่เข้ามาอ่านแล้วกรุณาทำความเข้าใจตามก็พอ ไม่จำเป็นต้องกลับไปบ้านพร้อมกับด่าลูกว่าต่อไปนี้ฉันจะไม่สนใจเธออีกแล้วในตามคำขอของเธอ คุณคิดผิดแล้ว จริงๆแล้วกรงมันก็ดีสำหรับบางเรื่อง แต่สำหรับบางเรื่องกรงก็ไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุดเสมอไป ไม่ได้บอกว่าอยากใช้ชีวิตเอง ไม่ต้องการคำประชดประชัน ต้องการให้รักเท่าเดิมไม่ต้องการให้ปล่อยปะละเลย ขอร้องสำหรับบทความนี้ อ่านและโปรดทำความเข้าใจ อย่าใช้เพียงอารมณ์ในการอ่าน

ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน
    จากใจผู้เขียน

วันจันทร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

"พูดไม่คิด"

ก็อย่างที่เห็นในหัวข้อ "พูดไม่คิด"
[ทำไมแค่การพูดไม่คิดอย่างเดียวถึงได้นำมาเป็นเรื่องราวใหญ่โตได้ ขนาดเด็กตัวเล็กๆพูดไม่คิดยังไมไ่ด้ถือความอะไรกันเลยใช่มั๊ย??] หากเมื่อคุณอ่านหัวข้อบทความนี้แล้วเกิดความคิดนี้ขึ้นในหัวแปลว่าคุณคิดตื้นเกิดไป เห็นได้จากหลายๆข่าวที่กำลังเป็นอยู่ในตอนนี้ การพูดไม่คิดทำให้สามารถเกิดอะไรได้หลายอย่างมากกว่าที่เราคิด และโดยส่วนใหญ่มักจะเกิดขึ้นในแง่ลบทั้งสิ้น

[แล้วอะไรคือการพูดไม่คิด] เราอาจจะเคยได้ยินผู้ใหญ่สั่งสอนเด็กในบางเวลาที่พวกเขาเผลอ "พูดอะไรตามที่ใจอยากมากเกินไปหน่อย" ออกมา เช่นพูดจาไม่เป็นมงคลออกมา หรืออาจจะ เผลอด่ากัน คำอุทานออกมาแบบหยาบคายก็ใช่ หรือการสาปแช่งกันแรงๆในขณะที่กำลังเกียจคนๆนั้นก็ใช่อีกนั้นแหละ การพูดไม่คิด คือการที่เราพูดอะไรบางอย่างออกมาโดยไม่ทันยับยั้งความคิดเอาไว้ อาจจะพ่นออกมาด้วยอารมณ์ที่รุนแรงอยู่ในขณะนั้น อารมณ์ที่นึกสนุก หรืออาจะเป็นเพราะสุราน้ำเมาต่างๆที่ทำให้พูดออกมาโดยขาดสติ หรือความรู้เท่าไม่ถึงการ

การที่เราพูดอะไรออกมาแบบไม่คิดนั้นสามารถให้โทษอะไรกับเราออกมาได้มากมาย ยกตัวอย่างเช่นเร็วๆนี้ในหัวข้อข่าวของหนุ่มคนหนึ่งที่ได้กระทำการโพสต์ลงโซเชี่ยวเกี่ยวกับคนที่ปั่นจักรยาน เขาอาจจะโพสต์โดยรู้เท่าไม่ถึงการหรือจงใจอะไรก็ช่าง แต่การกระทำของเขานับว่าขาดตัวกรั่นกรองที่ควรจะมีหากแต่คิดได้ก็โพสต์เลยโดยไม่คิดว่ามันจะเกิดอะไรตามมาบ้าง หรืออย่างคนที่กำลังหน้ามืดตามัวในสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ออกมาแก้ตัวโดยลืมหาข้อมูลที่หนักแน่นพอนั้นก็ใช่ เช่นเหล่าแฟนคลับของวงดนตรีหลายๆวงที่ออกมาแก้ข่าวหรือออกมาโพสต์ความคิดเห็นที่ขาดมูลเหตุ และมันก็เลยเป็นเหตุให้หลายๆคนต้องปิดเฟสไป หรือบางคนอาจจะไม่มีที่ยืนอยู่ในสังคมอีกเลยก็เป็นได้ แต่หากถามว่าการพูดไม่คิดนั้นคือความคิดชั่ววูบมั๊ย? บางทีมันก็อาจจะไม่ใช่ก็เป็นได้ ยกตัวอย่างเช่นหญิงสาวคนหนึ่งที่ออกมาด่าพระมหากษัติรย์ของประเทศไทยผ่านทางวีดิโอ ทีแรงนั้นอาจจะเป็นความคิดชั่ววูบก็จริง แต่หลังจากนั้นอาจจะเป็นสิ่งที่เธอเก็บเอาไว้มานาน หรืออาจจะสร้างกระแสเพราะอยากดัง แต่ที่แน่ๆคือ คำพูดของเธอขาดการกรั่นกรองเป็นอย่างสูง แล้วถามว่ามันเป็นความคิดเห็นส่วนตัวของเขา เราไปยุ่งอะไรด้วย บางทีความคิดเห็นส่วนตัวของเขาก็อาจจะไม่เป็นที่ยอมรับในหลายๆทางก็เป็นได้ และหลังจากที่เธอพูดไม่คิดออกไปแล้วผลที่ตามมาคือการใช้ชีวิตของเธอลำบากขึ้น เธออาจจะไม่สามารถเดินลอยชายอยู่ที่ไหนนานๆแล้วก็ได้ในขณะนี้ พ่อ แม่ของเธอก็ได้แจ้งัจบไปแล้วเรียบร้อย

จากที่บอกเล่ามาทั้งหมดล้วนแล้วแต่จะชี้ให้เห็นว่าการที่เรา "พูดไม่คิด" นั้นมักจะนำพามาซึ่งหลายอย่าง การสูญเสีย อาจจะเป็นการเสียชื่อเสียงในสังคม การเสียที่ยืน เสียเครดิต เสียคนที่เรารัก เสียเพื่อน เสียพี่ เสียน้อง เสียเงินทองหรือหลายๆอย่าง จึงอยากจะให้คนที่อ่านบทความนี้จบแล้วใคร่พิจารณาเรื่องการพูดออกไปซักนิดหนึ่ง ซึ่งนักเขียนก็เคยมาแล้วทั้งเป็นผู้ถูกกระทำและเป็นผู้กระทำออกไปเอง ไม่ใช่ว่าคนที่พูดไม่คิดพูดออกไปแล้วไม่รู้สึกอะไร ความรู้สึกผิดมักจะปรากฏตามหลังมาเสมอๆ อาจจะเป็นตอนที่ผู้เขียนใช้อารมณ์ในการเถียงกับผู้ปกครอง หรือการที่ผู้เขียนโดนรุ่นน้อง รุ่นพี่ เพื่อนจี้จุดในเรื่องของความรัก หลายๆคนควรจะพิจารณาดูเรื่องการพูด แต่หากมันไม่ได้หนักหนาอะไรเกินไป การให้ "อภัย" แก่เพื่อนมนุษย์ก็เป็นสิ่งที่ถูกที่ควร เช่นหากเพื่อนพูดไม่คิดไปสะกิดถูกจุดจี้ใจดำขึ้นมาหากพอเป็นสิ่งที่ให้อภัยได้ก็อยากจะให้ยกโทษไป หากพ่อแม่ตักเตือน ว่ากล่าว บางทีอาจจะเป็นเพราะอารมณ์ในตอนนั้น(บวกกับความร้อนในตอนนี้) พวกท่านอาจจะขาดสติไปหน่อยแต่คำพูดที่พูดออกมานั้นถ้าลองจับใจความดูดีๆท่านก็จะได้ความหมายที่บ่งบอกถึงความห่วยใยที่มาจากใจก็เป็นได้ 

ฝากเอาไว้อีกว่า "หากการพูดไม่คิดที่ออกมาจากใครบางคนนั้นไม่ได้ผิดอะไรมากจนเกิดไปก็จงให้อภัยเขาซะ ให้โอกาสเขาได้ปรับปรุงตัวใหม่ อย่าปล่อยให้คำพูดเล็กๆน้อยสามารถทำลายมิตรภาพที่อุสส่าห์สร้างร่วมกันมาได้"

"จงอย่าเสียคนที่คุณรักไปเพียงเพราะคำพูดเล็กๆน้อยๆ" 


                                                         ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน
                                                              จากใจผู้แต่ง

เพราะเป็นเด็กจึงเจ็บปวด

 เนื่องจากวันนี้เราได้ไปส่องเพจหนึ่งมา เพจชื่อว่า "เพราะเป็นเด็กจึงเจ็บปวด" มันก็จริงอย่างที่เขาว่ากระมัง เพราะเป็นเด็กเราจึงมักจะโดน
ขีดเส้นทางให้เดิน เพราะเป็นเด็กเราจึงมักจะถูกตีกรอบให้แคบ เพราะเป็นเด็กเราจึงถูกจำกัดอิสระภาพ เพราะเป็นเด็กเราจึงโดนทำลายความฝัน จริงๆปัจจัยเกิดมาจากหลายๆอย่างด้วยกัน แต่ถ้าพูดถึงในสังคมหลักๆทำไมพวกเราถึงโดนแบบนี้ ง่ายนิดเดียว "เพราะผู้ใหญ่รักเรามากเกินไป"ผู้ใหญ่ต้องการให้เรามีอนาคตที่ดี ผู้ใหญ่ต้องการให้เรามีอาชีพที่มั่นคง ผู้ใหญ่ต้องการให้เรามีความสุข แต่ขอประทานโทษคุณผู้ใหญ่ทั้งหลาย คุณมั่นใจได้มากน้อยแค่ไหนว่าสิ่งที่คุณทุกคนมอบให้เด็กๆนั้นคือ "ความสุข" ในแบบที่เขาอยากได้จริงๆ ไม่ใช่ว่าให้เขาเรียนติวหนัก ติวเข้ม จำกัดอิสระและจินตนาการของเขาเพื่อให้เขาได้เป็นแพทย์ แล้วคุณถามเขารึยังว่าเขาอยากเป็นอะไร?? มันก็ใช่ว่าเขาอาจจะตอบว่า "ผม/หนู อยากเป็นหมอ" นั้คือความคิดจริงๆ ความชอบจริงๆของเขาหรือมันเป็นเพียงแค่สิ่งที่พวกคุณปลูกฝังให้เขาเท่านั้น ?? การพูดกรอกหูก็เป็นอีกหนึ่งในการสะกดจิตขั้นพื้นๆเบๆ เป็นเหมือนการปลูกฝังความคิดให้เขาไปในตัว พวกคุณเคยสังเกตุมั๊ยว่าเขาชอบอะไร? สนุกกับอะไร? และทำอะไรได้บ้าง จริงๆเขาอาาจะอยากเปิดร้านเป็นของตัวเองก็ได้ใครจะไปรู้ จริงมั๊ย? หรือพวกคุณจะเถียง??

จริงอยู่ที่เด็กหลายคนมีความฝันจะมีอาชีพมั่นคงและมีความสุข จริงๆเขาไม่ได้ทำเพื่อตัวเขากระมัง พวกเขาอาจจะทำเพื่อพวกคุณก็ได้ เด็กหลายๆคนเป็นกันทั้งนั้นแหละ จริงๆพวกเขาอาจจะไม่อยากได้หรอก ผลการเรียนดี ผลสอบดีๆ คณะที่เรียนดีๆ หรืออาชีพดีๆ แต่ถ้าพวกเขาสามารถทำได้ผู้ใหญ่ก็จะภูมิใจและรักเขา รึไม่จริง? เด็กทุกคนแข่งกันเรียนเพื่อเอาใจพ่อ แม่ นั้นคือประเด็นหลักกระมัง ประเด็นรองที่เป็นผลพลอยได้คงเป็นผลดีกับตัวเขาเอง

มาพูดถึงอาชีพกันบ้างมั๊ย? อาชัพที่ภาคภูมิใจที่สุดของหลายๆคนคงจะไม่พ้นแพทย์สินะ อืม...พ่อ แม่คงเอาไปคุยได้สนุกปากว่า "ลูกฉันสอบติดแพทย์" คงใช่ แต่คุณพ่อ คุณแม่หลายๆคนจะรู้มั๊ยว่าอาชีพแพทย์จริงๆแล้วมันไม่ได้ทำให้คนที่เป็นมีความสุขสักเท่าไหร่หรอกมั้ง เพราะอาชีพแพทย์เป็นอาชีพที่ต้องระมัดระวังเรื่องสิทธิ์ของคนไข้สูง ต้องแม่นยำและละเอียดอ่อน ต้องแข่งขันกับแพทย์ท่านอื่นๆเพื่อให้มีชื่อเสียงและมีลูกค้าเยอะๆต้องแข่งขันกับนักศึกษาอีกมากมายเพื่อบรรจุเป็นข้าราชการตามโรงพยาบาลต่างๆ โดนร้องเรียนไปก็เยอะ โดนฟ้องไปก็บ่อย ไหนจะเรียนยากแสนยาก สอบเข้าก็ไม่ธรรมดา ตอนนี้คนเก่งๆหลายคนจึงหักเหความสนใจจากแพทย์มาเป็นครูบ้างอะไรบ้างเยอะแยะ (อ้าวชิบละ คู่แข่งตรูเพิ่มมาละสิ)

จริงๆความพวกเขาออาจะเป็นการเลือกทางเดินด้วยตัวของเขาเองก็เป็นได้ มีความฝันและลองทำตามจุดหมาย ลองสนับสนุนพวกเขาให้มากๆดูสิ ลองให้พวกเขาได้ค้นพบว่าจริงๆแล้วพวกเขาชอบอะไรกันแน่ ไม่ใช่ว่าชอบในสิ่งที่พวกคุณปลูกฝังให้เขา แต่เป็นสิ่งที่เขาชอบจากใจจริงๆ เปิดโลกของเขาให้กว้างๆ พูดคุยเปิดใจกันให้มากๆ คุยกันให้เหมือนเพื่อนที่เปิดอกคุยกัน ชักนำและเป็นแนวทางไม่ใช่เป็นแนวรั้วขวางกั้น ให้คำปรึกษาไม่ใช่คอยห้ามและยุยง และอย่างสุดท้ายคือคอยให้ความรักและกำลังใจกับพวกเขาให้มากๆ มีเวลาให้พวกเขาเยอะๆและอย่าคอยบังคับมากจนเกินไป จำเอาไว้ นั้นคือ "ลูก" ของพวกคุณ เขาไม่ใช่ "สัตว์เลี้ยง" จะได้คอยล่ามโซ่และจูงไปในทิศทางที่พวกคุณต้องการ



(บทความนี้ไม่ได้พาดพิงถึงบุคคลใดๆในโลกแห่งความเป็นจริง และไม่ได้มาจากความเก็บกดของตัวคนเขียน และที่สำคัญไม่ได้แต่งบทความตอนอยู่ในอารมณ์ที่กำลังผิดใจกับผู้ปกครอง ไม่ได้ต้องการจะระบายอะไรทั้งสิ้น เป็นเพียงบทควมที่คิดอยากจะแต่งก็ลุกขึ้นมานั่งพิมพ์เอาเสียดื้อๆเพราะได้ลองไปนั่งอ่านกระทู้ในพันทิปบางอันมา จบนะ)


ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน

เพื่อน ในมุมมองของแบบของฉัน

คำว่า “เพื่อน” สำหรับคุณคืออะไรครับ? คนๆนั้นจำเป็นจะต้อง รวยล้นฟ้ามีเงินเป็นร้อยล้านไหม? จำเป็นหน้าตาดีระดับนางงามจักรวาลไหม? จำเป็นต้องมีชื่อเสียงยิ่งใหญ่ที่ไปไหนมาไหนคนก็ต่างพากันกรี๊ดกร๊าดไหม? แล้วคนๆนั้นจำเป็นจะต้องเก่งระดับทำงานทุกอย่างผ่านฉลุยโดนไม่ต้องปรึกษาใครเลยรึเปล่า? ถ้าหากคำว่าเพื่อนของคุณจะต้องมีสิ่งเหล่านี้เป็นองค์ประกอบหลัก ผมว่าคุณไม่จำเป็นต้องเรียกคนเหล่านั้นว่าเพื่อนก็ได้นะครับ เรียกเขาเหล่านั้นแค่ “ผู้ให้ประโยชน์แก่คุณ” ก็เกินพอแล้ว การที่ผมพูดออกมาแบบนี้ไม่ได้ต้องการจะให้ใครแตกคอกัน แค่ต้องการชี้ให้เห็นว่าเพื่อนคืออะไร
                แล้วอะไรละ คือ “เพื่อน” ผมไม่รู้หรอกว่าคุณจะเรียกใครว่าเพื่อน แต่สำหรับผม เพื่อนคือคนที่ เอ่ยปากด่าเราเวลาเราไม่ยอมทำการบ้านมาแล้วขอลอกมัน แต่มันก็ไม่เคยปฎิเสธการที่ผมขอลอกมันซักครั้ง รำคาญซักนิดก็ไม่มี แถมเผลอๆรู้ด้วยว่าผมจะไม่ทำการบ้านมา เลยเตรียมทำมาเพื่อให้ผมลอกโดยเฉพาะ เพื่อน คือคนที่ เอ่ยปากบ่นเราเวลาเราใช่เงินจนหมดไปกับการซื้อของไร้สาระไม่เหลือไว้กินข้าวเที่ยงหรือซื้อของจำเป็น แต่มันก็ให้เรายืมอยู่บ่อยครั้ง เพื่อน คือคนที่ไม่ยอมทิ้งให้คุณเดินไปไหนมาไหนคนเดียว กินข้าวคนเดียวหรือนั่งเศร้าอยู่คนเดียว เพื่อนคือคนที่บ่นหิวข้าวจนจะกินหัวเราได้แต่ก็ยอมนั่งรอเราจนซื้อข้าวมานั่งลงที่โต๊ะ เริ่มกินพร้อมกันและยอมนั่งรอเราเวลาที่เราช้า เพื่อนคือคนที่มักจะพูดคำจริงออกมาแบบไม่คิดหน้าคิดหลัง แต่เราก็ไม่โกรธมันทั้งๆที่ถ้าเป็นคนอื่นปาดนี้เราก็โดดถีบยอดหน้ามันไปแล้ว เพื่อนคือคนที่เวลาเรานั่งร้องไห้ฟูมฟาย เสียใจมันก็จะคอยเดินเข้ามาตบหลังลูบไปมาแล้วพูดขึ้นว่า “อย่าร้องไห้ดิมึง ตาบวมไม่สวยนะเว้ย แต่ไม่เป็นไรมึงยังมีกูเสมอ” คือคนที่เวลาเราขาดเรียนมันจะชอบโทรมาถามว่า “ยังไม่ตายใช่มั๊ย?” คือคนที่พูดจาเหมือนด่าเราตลอดเวลาแต่มันกลับฟังแล้วจริงใจกว่าพวกสุภาพแต่ตอแหลบางคน นี่ไง คำว่าเพื่อนสำหรับผม
                เมื่อก่อนคำว่าเพื่อนคืออะไรผมก็ไม่แน่ใจหรอกนะครับ แต่เมื่อเวลาผ่านไป อะไรหลายๆอย่างก็ทำให้ผมได้รู้ว่า ไอ้คนๆนี้แหละที่เราควรจะเรียกมันว่าเพื่อน ไม่ใช่คนที่พอเห็นว่าเราหน้าตาขี้เหร่กับมาคบกับเราเพื่อนหวังว่าจะดูดีกว่าเรา ไม่ใช่คนที่มาคบกับเราเพราะบ้านเรารวยล้นฟ้า ไม่ใช่คนที่มาคบเพราะกะเกาะเรามีชื่อเสียง และไม่ใช่กะจะมาคบกับเราเพราะเอาไว้ลอกงาน การบ้าน หรือใช้เราทำงานกลุ่มเท่านั้น  ถ้าคบกับคนแบบนั้นในบางทีที่เราไม่เหลืออะไรแล้ว คนพวกนั้นก็จะจากไป ทำราวกับเราเป็นตัวหน้ารังเกียจ เมินเฉยและไม่ยอมพูดกับเราราวกับกลัวเสนียดจากตัวเราจะกระเด็นไปติดตัวมัน คนเหล่านั้นไม่เรียกว่าเพื่อนหรอกครับ อย่าไปยุ่งกับพวกนั้นเลย เพื่อนดีๆยังมีอีกมากมายหลายแสนคน แม้แต่ละคนจะแสดงออกต่างๆกันไป อาจจะเป็นเพื่อนในห้องเรียน เพื่อนในโรงเรียน เพื่อนต่างโรงเรียน เพื่อนต่างจังหวัดหรือเพื่อนจากต่างประเทศก็แล้วแต่ เพื่อนคือคนที่ยอมจับมือกับคุณไว้ตลอดเวลาแม้ว่าเราจะพามันเดินบุกหนามลุยไฟแค่ไหน เขาคนนั้นจะคอยฉุดคุณให้ลุกขึ้นในวันที่คุณท้อแท้และไม่มีใคร คือคนที่คอยผลักเราให้เดินต่อไปเรื่อยๆไม่จมปรักอยู่กับที่ คือคนที่คอยตบเรียกสติเราในวันที่เราหน้ามืดตามัว คือคนที่คอยชักนำเราไปในเส้นทางที่ถูกมากกว่าจะปล่อยให้เราหาทางไปสู่ความสำเร็จเอง ดังนั้นเวลาคุณเลือกเพื่อน ผมขอให้คุณเลือกดีๆ ไม่ต้องรีบร้อน รับรองซักวันหนึ่ง คุณจะเจอคนที่ยอมเดินจับมือไปพร้อมกับคุณ